
*เวอร์ชั่น Ultimate Editor*
(83/100)
Directed By Zack Snyder
Screenplay by Chris Terrio And David S.Goyer
Runtime : 183 Min
ดูจบแล้วก็คิดว่าเวอร์ชั่น Ultimate Editor เป็นเวอร์ชั่นที่ผู้กำกับต้องการจะเอาฉายเข้าฉายในโรง แต่ดันถูกทางต้นสังกัตหรือนายทุนเข้ามาแทรกแซงเพราะต้องการจะให้ตัวหนังเข้าถึงเด็กเล็กและผู้ใหญ่ได้ทั่วถึง (ทั้งที่เนื้อหาของหนังดันตรงข้าม) และอีกทั้งความยาวที่ดูยาวเกินไปทำให้ฉบันโรงที่มีความยาวแค่ 2 ชั่วโมง 30 นาที ดูผิดรูปผิดร่าง ขาดความกลมกล่อม ขาดความเข้มข้นและไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมกับตัวละคร แต่ในฉบัน 3 ชั่วโมงกลับแก้ไขในส่วนนั้น ดูกลมกล่อม เป็นรูปเป็นร่างและอรรถรสในอารมณ์ร่วมของตัวละครก็ดูอร่อยและเข้มข้นมากขึ้น
เรื่องราวต่อจาก Man Of Steel ในเหตุการณ์ Black Zero ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคนซึ่งผู้ได้รับผลกระทบจากส่วนหนึ่งในพันคือ บรู๊ซ เวย์น มหาเศรษฐีแห่งเมืองก็อดแธมที่มองว่าซุปเปอร์แมนคือภัยร้ายที่ไม่ควรไว้ใจและนั่นก็ยังเป็นเหตุการณ์ที่เปิดตัว บุรุษเหล็ก หรือ ซุปเปอร์แมน ให้คนทั่วโลกรู้จัก เริ่มตั้งแง่ สงสัยและหวาดกลัวในการเปลื่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยวในจักวาล
18 เดือนต่อมา โลอิส เลน ได้ไปทำข่าวที่แอฟริกา ในการสัมภาษณ์จอมโจรที่ก่อไม่สงบในแถบพื้นเมืองและเพื่อส่งข่าวให้รู้ว่ารัฐบาลอเมริกาจะทำตัวเป็นกลางต่อประเทศ ทุกอย่างดูราบลื่นจนกระทั่งสายสืบที่เป็นตากล้องได้ถูกเปิดเผยว่าเป็นซีไอเอทีได้ทำการสอดแนบผู้ก่อร้าย
เขาถูกฆ่าและภายในไม่กี่นาทีต่อมาสมาชิกผู้ก่อการร้ายก็ถูกสังหารโดยพวกเดียวกันเองเพื่อใส่ร้ายซุปเปอร์แมนจนต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น
และในขณะเดียวกัน แบทแมนแห่งเมืองก็อดแธมก็ได้เตรียมการรับมือกับซุปเปอร์แมนเพราะผลกระทบจากเหตุการณ์ Black Zero และเหตุการณ์ในแอฟริกา
ถ้าชอบเรื่องราวที่ฉายในโรง (ผลกระทบจากเหตุการณ์ก่อการร้าย,ความไม่ไว้วางใจ,วิธีสำรวจสภาวะจิตใจของตัวละครทั้งสองที่เชื่อมโยงกับบริบทสภาพแวดล้อมทางสังคมเพื่อดึงตัวละครให้กลับมาเป็นมนุษย์ปถุชนธรรมดาทั่วไปที่ยังยึดมั่นในคติของตัวเอง) คุณจะรักเวอร์ชั่น!! เพราะส่วนที่หนังได้เสริมรายละเอียดเข้าไป ทำให้หนังดูกล่อมกลม ไหลลื่นมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อก็คือการตั้งคำถามเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของซุปเปอร์แมนที่ไม่ต่างอะไรไปจากพระเจ้า ก็ถูกเติมเต็มให้มีที่มาที่ไปได้ชัดเจนกว่า เพราะอย่างน้อยพลเมืองแห่งเมโทรโปลิซและก็อดแธม (อันที่จริงทั้งโลก) ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและแน่น่อนว่าการทำดีที่แม้จะทำเป็นพันๆครั้งก็ไม่สามารถจะทำให้ผู้คนอดตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำอันผิดพลาดหรือควรทำแต่ไม่ควรทำในสิ่งที่เกิดขึ้นได้
"แบทแมน ทำไมต้องฆ่าซุปเปอร์แมน" นานาจิตตัง ในเวอร์ชั่นก็ไม่ได้อธิบายรายละเอียดที่ชัดเจนเท่าไร แต่มีสองข้อหลักๆที่หนังโยนคำถามมาให้ตั้งคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
1. เขาเบื่อโลก ผลจากการทำดีแล้วทำดีไม่ขึ้นทำให้ตัวเขากลายสภาพมาเป็นเครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึก ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยและคอยจัดการกับเหล่าร้ายที่แสนเลือดเย็น ทำให้คติประจำใจที่เขาต้องการจะให้ผู้คนในก็อดแธมมองเห็นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ซึ่งผลสุดท้ายตัวเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากอาชญากรและมองว่าซุปเปอร์แมนก็จะเหมือนเขาในไม่ช้า ถ้าไม่รีบฆ่าตอนนี้อาจจะมีผลเสียในระยะยาว
2.เขาต้องการเป็นตัวแทนของคนที่เกลียดซุปเปอร์แมนจากเหตุการณ์ Black Zero ร่วมถึงมุมมองที่ถูกทำให้มองคนละมุมจากฝืมือของเล็กซ์ ลูเธอร์
ทฤษฎีที่ว่าเล็กซ์ ลูเธอร์ ในหนังจะเป็นบุตรชายของเล็กซ์ ลูเธอร์ เป็นไปได้ถึง 93 % เพราะว่ามีตอนหนึ่งที่ตัวเขาบอกว่าพ่อเขาหากินกับหญิงชราซึ่งก็ตรงตามคอมมิคแทบ (เกือบ) ทุกประกาศ
"การมีตัวตนของซุปเปอร์แมน ส่งผลยังไงต่อโลก" ในอดีตโคเปอร์นิคัสพูดว่า โลกเป็นศูนย์กลางดวงอาทิตย์ซึ่งได้ผลิกโฉมโลกไปตลอดกาลและซุปเปอร์แมนจะเป็นแบบนั้นบ้างไม่ได้แหละ ในส่วนนี้ผมจึงแนะนำให้ท่านดู Man Of Steel มาก่อนดูเรื่องนี้เพื่อซึมซับกับคำสอนของโจนาธาน เคนต์ ว่าโลกนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการมีตัวตนที่มีชีวิตจริงใจและการตีความซุปเปอร์แมนเวอร์ชั่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการขุดหลุมฝั่งศพซุปเปอร์แมนทั้งเป็น
"เล็กซ์ ลูเธอร์ อัจฉริยะไร้เดียงสาอันแสนเลวบริสุทธิ์" ผมชอบการตีความเล็กซ์ ลูเธอร์ เวอร์ชั่นนี้มาก เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มองโลกเป็นเสมือนถังขยะที่ต้องคอยเก็บกวาด การกระทำที่ไม่จำเป็นต้องการเหตุผล แต่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะเขารวย เขาอัจฉริยะ และที่สำคัญวิธีการตีความในหนังของเขาก็แสนเจ้าเหล่เจ้ากลและดูไปได้ที่ว่าตัวตนของเขาพยายามจะสื่อถึงความวิปริตในสังคม GEN Y
และแน่น่อนว่าวันเดอร์ วูแมน คือตัวละครที่สร้างสีสันต์ให้หนังดูมีเสน่ห์มากขึ้น
คริส โทริโอ่ รับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ เดวิด เอส.โกเยอร์ ที่คนแรกเคยเขียนบทหนังทริลเลอร์สุดเข้มข้นอย่าง ARGO ที่ว่าด้วยการทำงานของซีไอเอในภารกิจช่วยคนออกจากเตหะร่านโดยการปลอมตัวเป็นทีมงานถ่ายหนังที่ในคราวนี้เขายังคงใส่มุมมองทางการเมืองของอเมริกันที่ดูร้ายกาจและหยอกล่อไม่ใช่เล่นซึ่งผมประทับใจในการเขียนบทของเขาในส่วนนี้โดยเฉพาะการเอาบริบททางประวัติศาสตร์มาสอดรับกับบริบททางสังคมในหนังเรื่องนี้ ส่วนเดวิด เอส.โกเยอร์ ก็เป็นคนที่สร้างสีสันต์ในการปูทางไปสู่จักวาล จัสติน ลีค ที่ดูน่าสนใจและมีสีสันต์ไม่ใช่น้อย
แช็ค ชไนเดอร์ ท็อปฟอร์มในผลงานชิ้นนี้ เขาพยายามจะเป็นคริสโตเฟอร์ โนแลน ที่บังเอิญทำสนุกกว่าโนแลน ในแง่ของการคุมสเกลหนังระดับยักษ์ชิ้นนี้ให้ดูมีความจริงจัง รุนแรงและผสมผสานความเป็นแฟนตาซีที่สอดรับความจริงจังของหนังได้อย่างดีงาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น